1. เปลี่ยนการแสดงผล :
    2. C
    3. C
    4. C
    5. C
    6. ตัวช่วยการเข้าถึงเว็บไซต์
    7. แผนผังเว็บไซต์
    8. EN
    9. TH
กระทรวงเกษตรและสหกรณ์
กระทรวงเกษตรและสหกรณ์
Ministry of Agriculture and Cooperatives
สศก. จัด focus group เกษตรกร-พ่อค้าในพื้นที่ ถกแนวทางพัฒนาเกษตรอินทรีย์
25 มิ.ย. 2562
1,619
0
สศก. จัด focus group เกษตรกร-พ่อค้าในพื้นที่ ถกแนวทางพัฒนาเกษตรอินทรีย์
สศก.จัดfocusgroupเกษตรกร-พ่อค้าในพื้นที่
สศก. จัด focus group เกษตรกร-พ่อค้าในพื้นที่ ถกแนวทางพัฒนาเกษตรอินทรีย์
วันที่ 25 มิถุนายน 2562

สศก. จัด focus group เกษตรกร-พ่อค้าในพื้นที่ ถกแนวทางพัฒนาเกษตรอินทรีย์

                นายฉันทานนท์ วรรณเขจร รองเลขาธิการสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร (สศก.) กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยถึงสถานการณ์การผลิตสินค้าอินทรีย์โลกในปัจจุบัน พบว่า จากข้อมูลของสถาบันวิจัยเกษตรกรรมอินทรีย์ (The research institute of organic agriculture: FiBL) และสหพันธ์เกษตรอินทรีย์นานาชาติ (international federation of organic agriculture movements: IFOAM) ปี 2560 พบว่า พื้นที่เกษตรอินทรีย์ของโลกมีจำนวน 361.25 ล้านไร่ โดยพื้นที่ผลิตสินค้าส่วนใหญ่อยู่บริเวณโอเซเนียน (Oceania) (ออสเตรเลียและหมู่เกาะใกล้เคียง) มีพื้นที่ผลิตเกษตรอินทรีย์ 47% ของพื้นที่ทำการเกษตรทั้งหมด รองลงมา คือ ยุโรป มีพื้นที่ผลิตเกษตรอินทรีย์ 23% ลาตินเอมริกา 12% เอเชีย 9% อเมริกาเหนือ 6% และแอฟริกา 3% ซึ่งผลผลิตเกษตรอินทรีย์ในตลาดโลกสร้างมูลค่าประมาณ 2.8 ล้านล้านบาท
               สำหรับประเทศไทย มีพื้นที่ผลิตเกษตรอินทรีย์อยู่ลำดับที่ 7 ของเอเชีย และมีการขยายพื้นที่ผลิตอินทรีย์อย่างต่อเนื่องจนปัจจุบัน ซึ่งจากการเก็บข้อมูลตั้งแต่ ปี 2543 พบว่า ไทยมีพื้นที่ผลิตอินทรีย์ 10,524 ไร่ และเพิ่มขึ้นเรื่อยมาจนปี 2560 มีพื้นที่ผลิตอินทรีย์ 570,409ไร่ (เพิ่มขึ้นร้อยละ 16 ต่อปี) โดยส่วนใหญ่เป็นการผลิตข้าวอินทรีย์ร้อยละ 59  พืชไร่ ร้อยละ 15  และผัก/ผลไม้ผสมผสาน ร้อยละ 13 ซึ่งสามารถสร้างมูลค่าจากการส่งออกสินค้าเกษตรอินทรีย์ได้ 1,817 ล้านบาท/ปี
                 อย่างไรก็ตาม แม้เกษตรอินทรีย์จะมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น แต่เมื่อเทียบกับพื้นที่เกษตรทั้งหมดของไทยยังคงเป็นสัดส่วนที่น้อยมาก หรือมีสัดส่วนเพียงร้อยละ 0.41 เท่านั้น เนื่องจากการทำเกษตรอินทรีย์จำเป็นต้องใช้ระยะเวลาในการปรับเปลี่ยนจึงจะได้รับการรับรองมาตรฐาน การสร้างความรู้ความเข้าใจด้านเกษตรอินทรีย์ให้แก่เกษตรกร การสร้างแรงจูงใจที่ทำให้เกษตรกรหันมาทำเกษตรอินทรีย์ รวมทั้งอุปสรรคที่เกิดจากสภาพภูมิอากาศ สภาพแวดล้อม และภัยพิบัติต่างๆ ล้วนยังส่งผลให้เกษตรกรยังคงตัดสินใจผลิตสินค้าแบบทั่วไป
                  ด้านนายชาญชัย ศศิธร ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตรที่ 8 จังหวัดสุราษฎร์ธานี (สศท.8) กล่าวเสริมว่าหากพิจารณาถึงทิศทางการผลิตเกษตรอินทรีย์ พบว่า ยังประสบปัญหาในด้านโลจิสติกส์เป็นปัญหาสำคัญ ซึ่งทำให้คุณภาพของสินค้า ไม่ตรงกับความต้องการของตลาดปลายทาง ดังนั้น สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตรที่ 1-12 ในส่วนภูมิภาค จึงได้จัดสนทนากลุ่ม (focus group) เมื่อวันที่ 29 พฤษภาคม 2562  โดยร่วมกับเกษตรกรผู้ผลิต ผู้แทนจากสถาบันเกษตรกร/ผู้รวบรวมผลผลิต พ่อค้าคนกลาง จำนวนกว่า 30 ราย เพื่อศึกษาแนวทางการจัดการโลจิสติกส์สินค้าอินทรีย์ในพื้นที่ โดย สศท. 8 ได้เน้นสินค้ามะพร้าวอินทรีย์ ซึ่งเป็นหนึ่งในพืชเศรษฐกิจสำคัญของภาคใต้ พบว่า ด้านมาตรฐานเกษตรอินทรีย์ เกษตรกรยังประสบปัญหาเรื่องระยะเวลาการขอมาตรฐานซึ่งต้องใช้ระยะเวลานาน ทั้งมาตรฐาน Organic Thailand รวมถึงการพัฒนาไปสู่มาตรฐานUSDA IFOAM ของต่างประเทศ และค่าใช้จ่ายในการขอรับรองมาตรฐาน นอกจากนี้ เกษตรกรบางส่วนยังขาดความรู้ความเข้าใจในการยื่นขออนุมัติมาตรฐานทั้งในประเทศและต่างประเทศ รวมถึงมาตรฐาน ในการแปรรูปสินค้า  ซึ่งจำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องส่งเสริมการให้ความรู้ในการขอใบรับรองมาตรฐานสินค้าแต่ละชนิด อีกทั้งภาครัฐควรสนับสนุนด้านงบประมาณในการขอรับมาตรฐานของสินค้าเกษตรอินทรีย์ของต่างประเทศสำหรับผู้ส่งออกสินค้าเกษตรอินทรีย์
                    การจัดการด้านคลังสินค้า พบว่า เกษตรกรบางส่วนยังขาดองค์ความรู้ในเรื่อง know how ด้านการบริหารเงินทุน (ไม่กล้านำเงินทุนมาหมุนเวียน) รวมทั้งโรงงานในพื้นที่ขาดเงินทุนหมุนเวียน ทำให้เกษตรกรขายผลผลิตให้กับแหล่งขายทั่วไปซึ่งเป็นเจ้าประจำ ดังนั้น ควรส่งเสริมโดยให้ความรู้เรื่องการบริหารเงินทุนหมุนเวียน การทำแผนการใช้เงิน และการกำหนดเป้าหมาย การหาช่องทางการตลาดในพื้นที่ เช่น โรงงานแปรรูปในชุมชน และการสร้างเครือข่าย เช่น กลุ่มมะพร้าวอินทรีย์ในพื้นที่ เป็นต้น ด้านการขนส่ง พบว่า สินค้าเกษตรอินทรีย์ยังมีค่าใช้จ่ายในเรื่องการขนส่งที่ค่อนข้างสูง จึงต้องพัฒนาระบบการขนส่งสินค้าที่มีประสิทธิภาพ หรือสินค้าอินทรีย์ควรได้รับการลดหย่อนในเรื่องค่าขนส่ง และด้านการสูญเสีย พบว่า  การแปรรูปยังเป็นลักษณะแบบเดิม ไม่มีการเพิ่มมูลค่าผลผลิตสินค้าจากส่วนที่เหลือ จึงควรสร้างองค์ความรู้เพื่อพัฒนาต่อยอด และความร่วมมือของทั้งภาครัฐ เอกชน มหาวิทยาลัย เพื่อให้ทุกส่วนของมะพร้าวแปรรูปและสามารถเพิ่มมูลค่าได้ต่อเนื่อง 
                อย่างไรก็ตาม การสร้างฐานการผลิตในต่างประเทศ โดยพัฒนาร่วมกับคู่ค้าในแต่ละประเทศเป็นสิ่งสำคัญ ประกอบกับการขึ้นทะเบียน เกษตรกร ผู้ประกอบการ ที่ดำเนินการเกี่ยวกับเกษตรอินทรีย์ จะเป็นฐานข้อมูลในการเชื่อมโยงในเรื่องการจัดหา การขนส่ง และการตลาด เพื่อเพิ่มศักยภาพในการแข่งขันสินค้าอินทรีย์ของไทยได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทั้งนี้ ข้อมูลที่ได้จากการจัด focus group สศก. จะนำไปใช้เป็นข้อเสนอแนะเชิงนโยบายในการบริหารจัดการโลจิสติกส์สินค้าอินทรีย์ต่อไป  สำหรับท่านที่สนใจข้อมูล สามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ สศท.8 โทร. 077 311 373 หรือ อีเมล zone8@oae.go.th

***********************************
ข่าว  :  ส่วนประชาสัมพันธ์ / ข้อมูล : สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตรที่ 8 จังหวัดสุราษฎร์ธานี
Loading...
กระทรวงเกษตรและสหกรณ์
ตกลง