วันที่ 2 ตุลาคม 2568 นางสาวไปรยา เศวตจินดา ผู้อำนวยการสำนักการเกษตรต่างประเทศมอบหมายให้นายกฤษณ์ หาญสวัสดิ์ นักวิเคราะห์นโยบายและแผนชำนาญการพิเศษ ร่วมเสวนาในหัวข้อ “From Fragmentation to Convergence: Indigenous and Local Action for Climate-Resilient, Nutrition-Sensitive Food Systems” ภายใต้เวทีการประชุม Asia-Pacific Climate Change Adaptation Forum ครั้งที่ 9 จัดขึ้นระหว่างวันที่ 30 กันยายน – 2 ตุลาคม 2568 ณ สำนักงานสหประชาชาติประจำเอเชียและแปซิฟิก (UN ESCAP) กรุงเทพมหานคร ภายใต้ธีมหลัก “Resilience for All: Catalyzing Transformational Adaptation”
การเสวนาดังกล่าวจัดโดย UN Food Systems Coordination Hub และ Stockholm Environment Institute (SEI) ร่วมกับองค์การอาหารและเกษตรแห่งสหประชาชาติ (FAO) ขบวนการ SUN Movement สถาบัน Samdhana และโครงการพัฒนาแห่งสหประชาชาติ (UNDP) โดยมุ่งเน้นการสร้างความเชื่อมโยงจากการทำงานที่กระจัดกระจายไปสู่การบูรณาการ เพื่อเสริมความยืดหยุ่นของระบบอาหาร และเพิ่มความมั่นคงทางโภชนาการให้แก่ประชาชน โดยเฉพาะเกษตรกรรายย่อย เยาวชน และกลุ่มชนพื้นเมืองที่เป็นด่านหน้าในการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
ในการแสดงความเห็นในเวทีเสวนา นายกฤษณ์ได้กล่าวถึงประสบการณ์ของประเทศไทยในการเผชิญกับความเปราะบางจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และเห็นถึงความจำเป็นในการดำเนินการเชิงระบบเพื่อสร้างภูมิคุ้มกันร่วมกัน
ประเทศไทยได้ดำเนินการพัฒนา Convergence Action Blueprint (CAB) ภายหลังการประชุม UNFSS+2 ที่กรุงโรมในปี 2566 โดยจัดทำผ่านการประชุมเชิงปฏิบัติการระดับชาติเมื่อเดือนพฤษภาคม 2568 ร่วมกับทุกภาคส่วน ได้แก่ หน่วยงานรัฐ ภาคเอกชน ภาคประชาสังคม มูลนิธิ และองค์กรระหว่างประเทศ โดยระบุการดำเนินงานสำคัญ 5 ประการ ได้แก่
1. การเสริมสร้างความเข้มแข็งให้ชุมชนและชนพื้นเมือง เป็นกลไกด่านหน้าในการปรับตัว
2. การลดความสูญเสียอาหารและขยะอาหาร เพื่อลดความเสี่ยงด้านความมั่นคงอาหารและบรรเทาการปล่อยก๊าซเรือนกระจก
3. การพัฒนาเกษตรกรรมอัจฉริยะด้านภูมิอากาศ เพื่อเพิ่มผลผลิต ลดการปล่อยก๊าซ และรักษาสิ่งแวดล้อม
4. การยกระดับธรรมาภิบาลระบบอาหารที่มีส่วนร่วมและอิงหลักฐานเชิงวิชาการ
5. การขับเคลื่อนด้วยนวัตกรรมและโมเดลเศรษฐกิจ BCG เพื่อสร้างตลาดที่ยั่งยืนและการเงินสีเขียว
นอกจากนี้ ประเทศไทยยังได้ย้ำถึงการดำเนินงานตาม National Pathway for Agri-Food Systems Transformation: อิ่มและดี 2030 ซึ่งประกอบด้วย 4 กลยุทธ์หลัก ได้แก่
• การพัฒนากลไกการกำกับดูแลและโครงสร้างพื้นฐานที่เข้มแข็ง
• การปฏิรูปเศรษฐกิจและการเงินเพื่อสร้างแรงจูงใจต่อการผลิตที่ยั่งยืน
• การลงทุนด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม รวมถึงภูมิปัญญาท้องถิ่น
• การเสริมพลังเกษตรกร เยาวชน สตรี และผู้บริโภคให้มีส่วนร่วมในระบบอาหาร
นายกฤษณ์ได้สรุปว่า “การปรับตัวจะไม่ประสบความสำเร็จหากดำเนินการแบบแยกส่วน” พร้อมย้ำว่าความร่วมมือข้ามภาคส่วนและการมีส่วนร่วมของทุกกลุ่ม โดยเฉพาะเยาวชนและชนพื้นเมือง เป็นปัจจัยสำคัญที่จะทำให้ระบบอาหารเป็นทั้ง “แหล่งหล่อเลี้ยงชีวิต” และ “เครื่องจักรขับเคลื่อนความยืดหยุ่น ความเป็นธรรม และความหวัง” ให้กับคนรุ่นปัจจุบันและอนาคต
การเข้าร่วมเวทีครั้งนี้ตอกย้ำบทบาทของประเทศไทยในฐานะประเทศผู้นำระดับภูมิภาคในการบูรณาการระบบอาหารเข้ากับนโยบายด้านสภาพภูมิอากาศ และร่วมมือกับนานาชาติในการขับเคลื่อนนโยบายการพัฒนาที่ยั่งยืน สร้างความมั่นคงด้านอาหารและโภชนาการ ควบคู่กับการรับมือกับวิกฤตภูมิอากาศที่รุนแรงขึ้น