กระทรวงเกษตรฯ เปิดสัมมนาขับเคลื่อนการขจัดความหิวโหยของประเทศไทย หวังสร้างความมั่นคงทางอาหาร ตามเป้าหมายการดำเนินงานในภูมิภาคเอเชียและแปซิฟิก

                นายระพีภัทร์ จันทรศรีวงศ์ ผู้ช่วยปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เป็นประธานพิธีเปิดการสัมมนาหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินงานขับเคลื่อนการขจัดความหิวโหย ของประเทศไทย (Zero Hunger Challenge Thailand) ซึ่งกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยสำนักการเกษตรต่างประเทศ ในฐานะสำนักเลขาธิการคณะกรรมการประสานงานกับองค์การอาหารและการเกษตรแห่งสหประชาชาติ (เอฟเอโอ) และการเกษตรต่างประเทศ และสำนักงานองค์การอาหารและเกษตรแห่งสหประชาชาติ ประจำภูมิภาคเอเชียและแปซิฟิก ได้ร่วมกันจัดขึ้น เพื่อจัดทำแนวทางและผลักดันการดำเนินงานขับเคลื่อนและการขจัดความหิวโหยในประเทศไทยให้เป็นรูปธรรม โดยมี นายจอง จิน คิม รองผู้แทนเอฟเอโอ ประจำภูมิภาคเอเชียและแปซิฟิก และ ดร.ยุคล ลิ้มแหลมทอง อดีตรองนายกรัฐมนตรี และอดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์  เข้าร่วม ณ โรงแรมพูลแมน คิง เพาเวอร์ รางนา กรุงเทพฯ โดยกล่าวว่า โครงการ Zero Hunger Challenge ได้เปิดตัวอย่างเป็นทางการระหว่างการประชุมคณะกรรมาธิการเศรษฐกิจและสังคมแห่งสหประชาชาติ หรือ การประชุม UN ESCAP ครั้งที่ 69 ณ กรุงเทพฯ ตั้งแต่เดือน เม.ย.2556 เพื่อเป็นจุดเริ่มต้นการให้ความช่วยเหลือและสนับสนุนการดำเนินงานโครงการเพื่อขจัดความอดอยากหิวโหยในภูมิภาคเอเชียและแปซิฟิก โดยประเทศไทยได้เข้าร่วมโครงการเมื่อวันที่ 12 เม.ย. 2559 ซึ่งคณะรัฐมนตรีมีมติมอบหมายให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เป็นหน่วยงานหลัก และมีหลายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้การสนับสนุน 

                ทั้งนี้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร และพระบรมวงศานุวงศ์ทรงให้ความสำคัญกับการกินดีอยู่ดีของราษฎรและผู้ยากไร้มาโดยตลอด ดังที่สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารีทรงดำเนินโครงการหลายโครงการเพื่อช่วยลดความหิวโหยมาตั้งแต่ปี 2523 เช่น โครงการเกษตรเพื่ออาหารกลางวัน ซึ่งเป็นโครงการที่ได้รับการยอมรับในระดับนานาชาติ จนกระทั่งเอฟเอโอ ได้ทูลเกล้าถวายตำแหน่งทูตพิเศษด้านขจัดความหิวโหยสำหรับภูมิภาคเอเชียและแปซิฟิกแด่สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เมื่อเดือน ต.ค. 2559 และปัจจุบันพระองค์ได้มีพระราชดำริให้ดำเนินโครงการความร่วมมือกับประเทศเพื่อนบ้าน เช่น ลาว พม่า และ กัมพูชา อีกทั้งการเข้าถึงอาหารอย่างเพียงพอของประชากรทุกคนเป็นหนึ่งในเป้าหมายการดำเนินงานเพื่อขจัดความหิวโหยของไทย โดยปัจจัยสำคัญที่สุดที่ส่งเสริมให้มีอาหารที่เพียงพอ คือ การบริหารจัดการทรัพยากรการผลิตที่ดีทั้งดินและน้ำ  โดยโครงการตามแนวพระราชดำริเพื่อแก้ไขปัญหาด้านดินในฐานะทรัพยากรต้นกำเนิดอาหารของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตรเป็นที่ประจักษ์ในระดับนานาชาติ จึงทำให้ เอฟเอโอ มีมติเมื่อปี 2555 ให้วันที่ 5 ธันวาคมของทุกปี ซึ่งตรงกับวันคล้ายวันพระราชสมภพของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร เป็น "วันดินโลก" และประเทศไทยยังได้รับความไว้วางใจจากประเทศสมาชิกลงมติเห็นชอบให้ดำรงตำแหน่งประธานคณะกรรมการอำนวยการและเลขานุการกลุ่มความร่วมมือด้านดินระดับภูมิภาคเอเซีย (Asian Soil Partnership: ASP) ซึ่งไทยจะดำรงตำแหน่งประธานวาระแรกเป็นเวลา 3 ปี คือ พ.ศ.2559-2561

                “กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้ให้ความสำคัญกับการบริหารจัดการทรัพยากรดินและน้ำเพื่อสร้างความมั่นคงทางอาหาร และเน้นย้ำเรื่องการผลิตอาหารที่ปลอดภัย มีมาตรฐาน รวมทั้งการส่งเสริมให้เกษตรกรพึ่งพาตนเองได้ ผ่านโครงการไทยนิยมยั่งยืนของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ อาทิเช่น โครงการเพิ่มทักษะอาชีพให้แก่เกษตรกรสำหรับเกษตรกรผู้มีรายได้น้อย การปรับเปลี่ยนพื้นที่ไม่เหมาะสมในการปลูกข้าวเพื่อผลิตสินค้าเกษตรอื่นที่เหมาะสม การลดการใช้สารเคมีทางการเกษตรและส่งเสริมเกษตรอินทรีย์ เป็นต้น โดยมุ่งหวังว่าประชาชนคนไทยทุกคนจะมีอาหารที่ปลอดภัย เพียงพอ เกษตรกรรายย่อยมีรายได้และผลผลิตเพิ่มขึ้น และมีความมั่นคงทางอาหาร ตามเป้าหมายการดำเนินงานในภูมิภาคเอเชียและแปซิฟิก”  นายระพีภัทร์ กล่าว