1. เปลี่ยนการแสดงผล :
    2. C
    3. C
    4. C
    5. C
    6. ตัวช่วยการเข้าถึงเว็บไซต์
    7. แผนผังเว็บไซต์
    8. EN
    9. TH
กระทรวงเกษตรและสหกรณ์
กระทรวงเกษตรและสหกรณ์
Ministry of Agriculture and Cooperatives
กระทรวงเกษตรฯ ร่วมมือ GIZ เปิดตัวโครงการ Thai Rice NAMA
27 พ.ค. 2562
524
0
โครงการ Thai Rice NAMA
กระทรวงเกษตรฯ ร่วมมือ GIZ เปิดตัวโครงการ Thai Rice NAMA
กระทรวงเกษตรฯ ร่วมมือ GIZ เปิดตัวโครงการ Thai Rice NAMA

กระทรวงเกษตรฯ ร่วมมือ GIZ เปิดตัวโครงการ Thai Rice NAMA ผลิตข้าวเบอร์ 5 โดยใช้เทคโนโลยี   เพิ่มประสิทธิภาพการผลิตและลดโลกร้อน หวังเปิดตลาดข้าวรักษ์โลก เพิ่มมูลค่าข้าวไทย

  นายกฤษฎา บุญราช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยว่า กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ร่วมกับองค์กรความร่วมมือต่างประเทศเยอรมัน หรือ GIZ ได้จัดทำโครงการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตและลดภาวะโลกร้อนจากการทำนาเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน หรือโครงการ Thai Rice NAMA ซึ่งเป็นโครงการที่ได้รับการสนับสนุนงบประมาณ 14.9 ล้านยูโร (คิดเป็นเงินไทยประมาณ 600 ล้านบาท) จากรัฐบาลประเทศเยอรมัน รัฐบาลสหราชอาณาจักร รัฐบาลเดนมาร์กและสหภาพยุโรป ผ่านโครงการ NAMA Facility มีระยะเวลาการดำเนินโครงการ 5 ปี (2561 - 2566) สำหรับดำเนินงานพัฒนาการผลิตข้าวของเกษตรกร จำนวน 100,000 ครัวเรือนในพื้นที่ 6 จังหวัด ภาคกลาง ได้แก่ จังหวัดชัยนาท สิงห์บุรี อ่างทอง พระนครศรีอยุธยา ปทุมธานี และสุพรรณบุรี ครอบคลุมพื้นที่ประมาณ 2.8 ล้านไร่ มีเป้าหมายเพื่อให้เกิดการปรับเปลี่ยนระบบการทำนาในปัจจุบันไปสู่ระบบการทำนาแบบยั่งยืน โดยสามารถลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกลงขณะเดียวกันก็ยังเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตให้สูงขึ้นด้วย ซึ่งย่อมเป็นการผลิต ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม และขณะเดียวกันยังเพิ่มประโยชน์ที่เกษตรกรได้รับจากประสิทธิภาพการผลิตที่เพิ่มขึ้นนั่นเอง โครงการมีวัตถุประสงค์หลัก  3 ประการ คือ    1) เพื่อก่อให้เกิดผลประโยชน์ร่วมแก่เกษตรกรทั้งการทำนาแบบลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก  และการผลิตข้าวที่ได้มาตรฐานการผลิตข้าวที่ยั่งยืน (Thai Rice GAP )  2) เพื่อพัฒนาและขยายธุรกิจการให้บริการเทคโนโลยีการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในการทำนา   และ3) เพื่อให้มีมาตรการจูงใจที่สนับสนุนให้ภาคการผลิตข้าวทั้งระบบเป็นไปในรูปแบบที่สามารถลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก

  นางสาวดุจเดือน ศศะนาวิน รองปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า ปัจจุบันการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (climate change) หรือโลกร้อน ทวีความรุนแรงขึ้นเป็นลำดับ นานาประเทศจึงให้ความสำคัญต่อการดำเนินการแก้ไขปัญหาหรือลดผลกระทบในเรื่องนี้  องค์การสหประชาชาติได้รณรงค์ให้ประเทศสมาชิกมีการดำเนินงาน    ที่เป็นรูปธรรมและวัดผลได้  สำหรับประเทศไทย นายกรัฐมนตรีให้คำยืนยันในการประชุมรัฐภาคีกรอบอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศสมัยที่ 21 ที่ปารีส ประเทศฝรั่งเศส ว่า ไทยประกาศลดก๊าซเรือนกระจกร้อยละ 20 โดยนำหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงมาใช้ พร้อมลดใช้พลังงานจากฟอสซิล   และใช้พลังงานทดแทนที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และหากได้รับการสนับสนุนจากนานาชาติ จะลดลงให้ได้ร้อยละ 25 ภายในปีพ.ศ. 2573 ซึ่งเป็นการแสดงเจตนารมณ์ ที่ชัดเจนของประเทศไทยที่จะร่วมกับนานาประเทศ  ในการดำเนินงานที่ลดผลกระทบต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศถึงแม้ว่าเป้าหมายการลดก๊าซเรือนกระจกของประเทศไทย จะยังคงเป็นภาคพลังงานและการขนส่งเป็นอันดับแรก แต่ไม่ได้หมายความว่าภาคอื่นๆ ไม่ต้องคำนึงถึง ทุกภาคส่วน  รวมทั้งภาคเกษตร มีส่วนร่วมในการ           เตรียมความพร้อมและปรับตัวให้มุ่งสู่การสร้างนวัตกรรม   และการใช้เทคโนโลยีที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมควบคู่ไปกับการพัฒนาและเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตหากไม่มีการปรับตัว ผลของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศจะย้อนกลับทำให้เกิดทำให้เกิดภัยพิบัติ เช่น น้ำท่วม ภัยแล้ง เป็นต้น ส่งผลกระทบต่อชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนและเกษตรกร และการพัฒนาประเทศในภาพรวม 

  รองปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ระบุว่า การดำเนินการโครงการนี้จะมุ่งเน้นให้เกษตรกรรายย่อย  มีการปรับเปลี่ยนวิธีการทำนาแบบปัจจุบันไปสู่การทำนาที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกต่ำ  และเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตพันธุ์ข้าวและเทคโนโลยีเฉพาะที่เหมาะสมกับพื้นที่ทั้งการปรับพื้นที่ให้เสมอกันการปลูกแบบเปียกสลับแห้งการใส่ปุ๋ยตามค่าวิเคราะห์ดินการจัดการฟางและตอซังเพื่อลดการเผา  และอื่นๆ  ซึ่งจะประหยัดน้ำและลดน้ำท่วมในแปลงลง โดยโครงการจะมีการจัดตั้งกองทุนหมุนเวียน   และให้การฝึกอบรมเพื่อสนับสนุนให้เกษตรกรเข้าถึงเทคโนโลยีการผลิตข้าวที่ช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก โครงการได้รับความร่วมมือจากธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธกส.) ในการปล่อยสินเชื่อสีเขียวให้แก่  ผู้ให้บริการเทคโนโลยีทางการเกษตร  เพื่อช่วยลดการปล่อยก๊าซ  เรือนกระจก  นอกจากนี้ โครงการจะให้การสนับสนุนหน่วยงานภาครัฐ ในการกำหนดนโยบายและมาตรการสนับสนุนต่าง ๆ เพื่อสร้างแรงจูงใจในการผลิตข้าวที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกต่ำ รวมทั้ง การพัฒนามาตรฐาน Thai Rice GAP     เพื่อให้เกิดการเชื่อมโยงตลาดและห่วงโซ่คุณค่า รวมถึงการขยายผลในพื้นที่อื่นต่อไป

นางสาวดุจเดือนฯ ย้ำว่า จะเห็นได้ว่าโครงการนี้เป็นความร่วมมือบูรณาการระหว่างกระทรวงเกษตรฯ และ GIZ และยังร่วมมือกับ ธกส.ซึ่งเป็นหน่วยงานบริหารกองทุน สำหรับหน่วยงานในกระทรวงเกษตรฯ นั้นไม่ได้มีเฉพาะกรมการข้าว แต่ครอบคลุม กรมส่งเสริมการเกษตร กรมส่งเสริมสหกรณ์ กรมชลประทาน กรมพัฒนาที่ดิน รวมทั้งจัดทำแผนธุรกิจร่วมกับภาคเอกชน ทั้งนี้ คาดว่าจะมีผู้ได้รับผลประโยชน์ที่เป็นเกษตรกรและผู้ให้บริการเทคโนโลยีจำนวน 454,200 คน โครงการมีพื้นที่เป้าหมายซึ่งเป็นพื้นที่เพาะปลูกแบ่งเป็น นาปรังประมาณ 2.8 ล้านไร่ และนาปีอีก 2.8 ล้านไร่ โดยคาดว่าจะได้ผลผลิตสูงสุดประมาณ 4 ล้านตันต่อปี  

 

 

Loading...
กระทรวงเกษตรและสหกรณ์
ตกลง