นายปราโมทย์ ยาใจ อธิบดีกรมหม่อนไหม เปิดเผยว่า ไข่ไหมเป็นหนึ่งในปัจจัยพื้นฐานที่สำคัญในการเลี้ยงไหมของเกษตรกรโดยกรมหม่อนไหมมีภารกิจในการผลิตและบริการไข่ไหมพันธุ์ดีที่ปลอดโรคเพบรินบริการแก่เกษตรกรผู้ปลูกหม่อนเลี้ยงไหม ไข่ไหมที่แจกจ่าย มี 3 ประเภทคือ เป็นพันธุ์ไทยลูกผสมพันธุ์ไทยพื้นบ้านชนิดลูกผสม และพันธุ์ไทยพื้นบ้านชนิดพันธุ์แท้ปัจจุบันความต้องการไข่ไหมของเกษตรกร เฉลี่ยปีละ 200,000 – 300,000 แผ่น ซึ่งเกินความสามารถการผลิตไข่ไหมภายในศูนย์หม่อนไหมเฉลิมพระเกียรติฯที่ผลิตได้ประมาณ 130,000 แผ่น/ปีดังนั้น เพื่อให้เกษตรกรผู้ปลูกหม่อนเลี้ยงไหมมีไข่ไหมพันธุ์ดีเพียงพอกับความต้องการ กรมหม่อนไหมจึงได้ดำเนินการให้มีการผลิตไข่ไหมแบบเกษตรกรมีส่วนร่วม เพื่อเปิดโอกาสให้เกษตรกรที่มีศักยภาพและมีความพร้อมช่วยเลี้ยงไหมพ่อแม่พันธุ์ ภายใต้การควบคุมดูแลของศูนย์หม่อนไหมเฉลิมพระเกียรติฯ ในพื้นที่
การดำเนินการผลิตไข่ไหมแบบเกษตรกรมีส่วนร่วม มีการดำเนินการวางแผนการผลิตไข่ไหมแบบปีต่อปี โดยการขึ้นทะเบียนเกษตรกรที่มีความสามารถในการเลี้ยงไหมพ่อแม่พันธุ์ขยาย พร้อมกับตรวจสอบความพร้อมของเกษตรกรในการเลี้ยงไหมแต่ละรุ่นเพื่อขออนุมัติอธิบดีกรมหม่อนไหมดำเนินการผลิตไข่ไหมแบบเกษตรกรมีส่วนร่วม แล้วจึงทำสัญญาข้อตกลงการเลี้ยงไหมเพื่อผลิตไข่ไหมกับเกษตรกรเจ้าหน้าที่จะติดตามการเลี้ยงไหมของเกษตรกรไม่น้อยกว่า 3 ครั้งต่อรุ่น เพื่อควบคุมการเลี้ยงไหมให้เป็นไปตามมาตรการความปลอดภัย และป้องกันช่องทางการนำโรคและแมลงเข้ามาภายในศูนย์หม่อนไหมเฉลิมพระเกียรติฯ
เมื่อเกษตรกรเลี้ยงไหมจนกระทั่งทำรังแล้ว ศูนย์หม่อนไหมเฉลิมพระเกียรติฯ ในพื้นที่จะรับซื้อรังไหมด้วยราคาอ้างอิงคุณภาพและปริมาณของรังไหม เพื่อนำรังไหมที่ได้จากเกษตรกรมาผลิตไข่ไหมภายในศูนย์หม่อนไหมเฉลิมพระเกียรติฯ โดยนำมาปาดรัง คัดเพศดักแด้และจัดเก็บรักษาดักแด้ ผสมพันธุ์ผีเสื้อ วางไข่ ตรวจโรคเพบรินในแม่ผีเสื้อ และบริหารจัดการไข่ไหมพันธุ์ดีเพื่อแจกจ่ายให้กับเกษตรกรต่อไป
“ปัจจุบัน การผลิตไข่ไหมของกรมหม่อนไหมประสบปัญหาขาดแคลนแรงงานที่มีทักษะความรู้ ประกอบกับโรงเลี้ยงที่มีอายุการใช้งานนานมากแล้ว ทำให้ประสิทธิภาพในการผลิตไข่ไหมมีจำกัด ดังนั้น การผลิตไข่ไหมแบบเกษตรกรมีส่วนร่วมจะช่วยเพิ่มปริมาณไข่ไหมในวงจรการผลิตให้มากขึ้นอันจะเป็นการตอบสนองความต้องการไข่ไหมของเกษตรกรและเพิ่มปริมาณผลผลิตรังไหมและเส้นไหมของประเทศให้มากขึ้น ตลอดจนส่งเสริมอาชีพการปลูกหม่อนเลี้ยงไหมและทอผ้าไหมของประเทศไทยให้ก้าวหน้าต่อไป” อธิบดีกรมหม่อนไหม กล่าว