นายพีรพันธ์ คอทอง อธิบดีกรมส่งเสริมการเกษตร เปิดเผยว่า โครงการนี้นอกจากจะมุ่งเน้นการเพิ่มรายได้แล้ว สิ่งสำคัญคือการสร้างความยั่งยืนในระยะยาว โดยกรมฯ ได้เร่งวิเคราะห์ปัญหาและพัฒนาร่วมกับเกษตรกร เพื่อยกระดับคุณภาพและสร้างความเชื่อมั่นในการผลิต แปลงที่มีรายได้โดดเด่น เช่น กลุ่มผู้ปลูกสับปะรดบ้านตอเกตุ จ.ประจวบคีรีขันธ์ (พันธุ์ปัตตาเวีย) สามารถสร้างรายได้จากสินค้าสับปะรดกว่า 119,000 บาท พบว่าเกษตรกร ในกลุ่มสามารถเพิ่มผลผลิตเมื่อปี 2567 จาก 5,927 กก. ต่อไร่ เป็น 7,431 กก. ต่อไร่ โดยการวิเคราะห์ดินและน้ำในแปลงสับปะรด และนำผลการวิเคราะห์ที่ได้มาปรับปรุงดินและน้ำภายในแปลง เพื่อให้เหมาะสมกับการผลิตสับปะรด ร่วมกับการใช้ปุ๋ยตามค่าวิเคราะห์ดิน เกษตรกรลดต้นทุนค่าปุ๋ยเคมี ทำให้ต้นสับปะรดได้ธาตุอาหารที่เพียงพอกับความต้องการ นอกจากนี้ยังได้นำเทคโนโลยีการเพิ่มปริมาณหน่อพันธุ์สับปะรดโดยวิธีการตัดช่อดอกมาใช้ภายในแปลงลดต้นทุนในการซื้อหน่อพันธุ์ และเพิ่มรายได้จากการจำหน่ายหน่อพันธุ์ อีกทางหนึ่งด้วย แปลงใหญ่อ้อย ตำบลหินโนนเมือง อำเภอนากลาง จ.หนองบัวลำภู การเพิ่มขึ้นของผลผลิต โดยการวิเคราะห์ดินและส่งเสริมการใช้ปุ๋ยตามค่าวิเคราะห์ดินร่วมกับการใช้ปุ๋ยชีวภาพ PGPR-3 และระบบน้ำ จากการสุ่มวัดผลผลิตในแปลงของเกษตรกรสามารถเพิ่มผลผลิตปี 2567 จาก 11 ตัน ต่อไร่ เป็น 18 - 22 ตัน ต่อไร่ เกษตรกรต้นแบบ นายสุกรัน กากะ Young Smart Farmer จังหวัดปัตตานี สามารถสร้างรายได้เพิ่มขึ้นกว่า 60,000 บาท/ปี ด้วยการต่อยอดผลผลิตมังคุดและลองกองให้เป็นสินค้านวัตกรรม เช่น มังคุดแช่แข็ง น้ำมังคุดนมสด มังคุดลอยแก้ว ลองกองไซเดอร์เวเนก้า และวัสดุปลูกจากเปลือกมังคุด แปลงใหญ่ส้มโอ บ้านหนองผักหลอด ตำบลบ้านแท่น อำเภอบ้านแท่น จังหวัดชัยภูมิ รายได้เพิ่มขึ้น คิดเป็นร้อยละ+ 52.75 จากรายได้ปี 2566 โดยการใช้ปุ๋ยตามค่าวิเคราะห์ดิน การผลิตปุ๋ยหมัก รวมถึงพัฒนาทักษะเกษตรกรในการผลิตส้มโอคุณภาพมาตรฐาน และบริหารจัดการน้ำในแปลงด้วยระบบน้ำในช่วงฤดูแล้ง แปลงใหญ่กาแฟบ้านเลโค๊ะ ตำบลสบเมย อำเภอสบเมย จังหวัดแม่ฮ่องสอน รายได้เพิ่มขึ้น คิดเป็นร้อยละ +464.41 จากรายได้ปี 2566 ใช้การจัดการศัตรูกาแฟด้วยวิธีผสมผสาน ส่งเสริมและพัฒนาผลผลิตที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
สำหรับโครงการฯ ปี 2568 มีเป้าหมายหลักเพื่อยกระดับรายได้และคุณภาพชีวิตของเกษตรกร ตามนโยบายของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ที่มุ่งให้เกษตรกรมีรายได้เพิ่มขึ้น โดยใช้แนวคิด “ทำการเกษตรให้มีมูลค่าสูง” ควบคู่กับการทำเกษตรแบบประณีตหรือเกษตรแม่นยำสูง นำเทคโนโลยีชีวภาพและเทคโนโลยีหมุนเวียนมาใช้ในการผลิต เพื่อยกระดับสินค้าเกษตรให้มีคุณค่าทางโภชนาการสูง และสามารถใช้ประโยชน์ได้ทั้งด้านวัสดุชีวภาพ ด้านเภสัชกรรม และด้านเศรษฐกิจสร้างสรรค์ ก่อให้เกิดความแตกต่างของผลิตภัณฑ์และเพิ่มรายได้เกษตรกรอย่างเป็นรูปธรรม
โครงการฯ ปีนี้นับเป็นการต่อยอดจากโครงการสินค้าเกษตรและบริการมูลค่าสูง “1 ท้องถิ่น 1 สินค้าเกษตรมูลค่าสูง” ปี 2567 ที่ครอบคลุม 46 กลุ่มแปลงใหญ่ ใน 26 จังหวัด โดยคัดเลือกพื้นที่ที่มีศักยภาพ วิเคราะห์ข้อมูลพื้นฐานด้านกายภาพ ชีวภาพ เศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม รวม 5 องค์ประกอบหลัก เพื่อใช้ประเมินความเหมาะสม วางแผนการพัฒนาและแก้ไขปัญหาในแต่ละพื้นที่ พร้อมจัดทำแผนการดำเนินงาน กิจกรรม และงบประมาณที่สอดคล้องกับศักยภาพในพื้นที่ เพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์และเป้าหมายของโครงการส่งเสริมและพัฒนาเพื่อเข้าสู่ห่วงโซ่อุปทานและบริการมูลค่าสูงอย่างมีประสิทธิภาพ
อธิบดีกรมส่งเสริมการเกษตร กล่าวอีกว่า สำหรับปีงบประมาณ 2569 กรมส่งเสริมการเกษตรเตรียมสานต่อความสำเร็จ ตั้งเป้าเกษตรกร 200 แปลง โดยเน้นการประยุกต์ใช้ Climate Smart Technology
เพื่อเตรียมพร้อมเกษตรกรเข้าสู่ Smart Farming และสังคมคาร์บอนต่ำ Low Carbon ซึ่งส่งผลให้เกิดการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต ลดต้นทุนที่ไม่จำเป็น และสร้างผลผลิตที่ยั่งยืน พร้อมทั้งพัฒนา Prototype ผลิตภัณฑ์ใหม่ เพื่อต่อยอดสู่ตลาดมูลค่าสูงกว้างขึ้น รวมถึงการอบรมพัฒนาองค์ความรู้ การจัดทำโมเดลธุรกิจ การ coachingและ pitching เพื่อสนับสนุนให้เกษตรกรพร้อมแข่งขันเชิงพาณิชย์โครงการเกษตรมูลค่าสูงไม่เพียงช่วยเพิ่มรายได้และยกระดับคุณภาพชีวิตเกษตรกรเท่านั้น แต่ยังสร้างแรงบันดาลใจให้คนรุ่นใหม่หันมาทำการเกษตรด้วยความคิดสร้างสรรค์และนวัตกรรม สอดรับกับเป้าหมายการพัฒนาเกษตรไทยให้มั่นคง ยั่งยืน และแข่งขันได้ในอนาคต