นายอามินทร์ มะยูโซ๊ะ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เป็นประธานพิธีมอบถ้วยรางวัลพระราชทานจากสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี แก่ผู้ชนะการประกวดสุดยอดกาแฟไทย ปี 2568 (Thai Coffee Excellence 2025) ณ สวนนงนุช พัทยา จังหวัดชลบุรี ซึ่งการจัดงานดังกล่าว มีวัตถุประสงค์เพื่อเทิดพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร และสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี พร้อมทั้งเผยแพร่อัตลักษณ์กาแฟไทย เพิ่มพื้นที่ปลูกกาแฟคุณภาพ ลดปัญหาหมอกควัน PM 2.5 และยกระดับศักยภาพเกษตรกรไทยสู่การผลิตที่มีมาตรฐานสากล ตามแนวคิดเศรษฐกิจชีวภาพ–หมุนเวียน–สีเขียว (BCG Economy) เพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs)
สำหรับการประกวดสุดยอดกาแฟไทย ปี 2568 แบ่งออกเป็น 2 ประเภทหลัก ได้แก่ 1) การประกวดเมล็ดกาแฟ (Thailand Best Coffee Beans 2025) ครอบคลุม 4 กระบวนการแปรรูป คือ แบบแห้ง (dry/natural) แบบเปียก (wet/wash) แบบกึ่งแห้ง (honey) และโรบัสตาไม่แยกกระบวนการ รวมทั้งสิ้น 20 รางวัล และ 2) การประกวดสวนกาแฟตามหลักเกษตรเชิงฟื้นฟู (GAP & Regenerative) ทั้งสวนอะราบิกาและโรบัสตา รวม 10 รางวัล รวมทั้งหมด 30 ถ้วยรางวัล โดยรางวัลชนะเลิศอันดับ 1 ได้รับถ้วยพระราชทานฯ อันดับ 2 – 5 ได้รับถ้วยรางวัลจากผู้บริหารระดับสูง อาทิ ประธานองคมนตรี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และอธิบดีกรมวิชาการเกษตร โดยในปีนี้มีผู้ส่งเมล็ดกาแฟเข้าประกวด 131 ตัวอย่าง และเกษตรกรเจ้าของสวนกาแฟ 66 สวน จากหลายจังหวัดทั่วประเทศ โดยสวนอะราบิกามาจากภาคเหนือ 27 สวน และสวนโรบัสตาจากภาคใต้ และพื้นที่อื่นรวม 39 สวน
ด้าน นายรพีภัทร์ จันทรศรีวงศ์ อธิบดีกรมวิชาการเกษตร กล่าวว่า เมื่อวันที่ 19 กันยายนที่ผ่านมา ได้จัดการประมูลกาแฟที่ได้คะแนนสูงสุด 1–10 ของแต่ละประเภท โดยมีผู้ประกอบการและผู้คั่วกาแฟเข้าร่วมคึกคัก ซึ่งผลการประมูลปรากฏว่า กาแฟโรบัสตาได้รับการประมูลสูงสุดถึง 8,200 บาทต่อกิโลกรัม ส่วนกาแฟอะราบิกาแปรรูปแบบแห้งได้ราคาสูงสุด 3,500 บาทต่อกิโลกรัม ทำให้เกิดมูลค่าการประมูลรวมกว่า 1.44 ล้านบาท สะท้อนศักยภาพของกาแฟไทยที่สามารถแข่งขันและสร้างมูลค่าสูงได้จริง เมื่อเปรียบเทียบต้นทุน–รายได้ พบว่า กาแฟอะราบิกามีต้นทุนเฉลี่ย 83 บาทต่อกิโลกรัม แต่สามารถขายได้เฉลี่ย 163 บาทต่อกิโลกรัม เพิ่มรายได้กว่า 50% ส่วนกาแฟโรบัสตามีต้นทุน 76 บาทต่อกิโลกรัม แต่ราคาขายเฉลี่ยสูงถึง 188 บาทต่อกิโลกรัม เพิ่มรายได้กว่า 147% ชี้ชัดว่ากาแฟกำลังเป็นพืชเศรษฐกิจที่ช่วยสร้างความมั่นคงให้เกษตรกรไทย
การประกวดปีนี้ยังเน้นการขับเคลื่อนมาตรฐานการผลิต GAP PM 2.5 Free และการปลูกกาแฟตามหลักเกษตรเชิงฟื้นฟู (Regenerative Agriculture) ที่ให้ผลผลิตมีคุณภาพ ช่วยลดปัญหาหมอกควันภาคเหนือ ฟื้นฟูพื้นที่ป่า และเพิ่มพื้นที่สีเขียว โดยเกษตรกรสามารถนำแนวปฏิบัติไปต่อยอดสู่การสร้างแบรนด์และตลาดพรีเมียมในอนาคต นอกจากนี้ กรมวิชาการเกษตรยังได้จัด Roadshow และกิจกรรมชิมกาแฟ (cupping test) ในหลายจังหวัด เช่น เชียงใหม่ เชียงราย พะเยา และกรุงเทพฯ รวมถึงจัดแสดง “Thailand Best Coffee Beans 2025” ที่ศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ เพื่อเปิดโอกาสให้ผู้บริโภคและนักธุรกิจได้รู้จักกาแฟคุณภาพสูงของไทยมากยิ่งขึ้น และอีกก้าวสำคัญคือการพัฒนากาแฟพันธุ์ใหม่ “กวก.เกอิชา” (DOA Geisha) ซึ่งมีชื่อเสียงระดับโลกในด้านรสชาติและคุณภาพ ปัจจุบันได้ขึ้นทะเบียนเป็นพันธุ์พืชใหม่แล้ว และเตรียมกระจายกล้าพันธุ์ให้เกษตรกรนำไปปลูกในปี 2569 คาดว่าจะช่วยเพิ่มมูลค่าและขยายโอกาสของอุตสาหกรรมกาแฟไทยในตลาดโลกได้อย่างมาก
อย่างไรก็ตาม การประกวดสุดยอดกาแฟไทยปีนี้ไม่เพียงสะท้อนคุณภาพและเอกลักษณ์ของกาแฟไทย แต่ยังเป็นการยกระดับทั้งห่วงโซ่อุตสาหกรรม ตั้งแต่แปลงปลูก การแปรรูป การประมูล ไปจนถึงการเชื่อมโยงตลาดต่างประเทศ พร้อมกันนี้การประกวดสุดยอดกาแฟไทยจึงไม่ใช่แค่การค้นหากาแฟที่ดีที่สุด แต่ยังเป็นเวทีสร้างแรงบันดาลใจและโอกาสใหม่ ๆ ให้เกษตรกรไทย ก้าวสู่ความยั่งยืน พร้อมแข่งขันในเวทีสากลได้อย่างภาคภูมิ